การยกระดับสงครามการค้าของทรัมป์อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจโลก ด้านจีนเผชิญแรงกดดันจากทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทาน
เศรษฐกิจโลก
การยกระดับสงครามการค้าของทรัมป์อาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจโลก
ด้านจีนเผชิญแรงกดดันจากทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทาน
สหรัฐ-สหรัฐฯ
เผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และดอกเบี้ย
หลังทรัมป์ยกระดับสงครามการค้า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 2 ขยายตัว 3.8% QoQ
annualized สูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.3%
ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 กันยายน 2568
ปรับลดลงสู่ 2.18 แสนราย ต่ำสุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายนร่วงลงสู่ 55.1 จากเดือนก่อนที่ 58.2 ขณะที่เงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา
PCE เดือนสิงหาคมเร่งขึ้นสู่ 2.7% YoY ซึ่งสูงสุดในรอบ
6 เดือน
ประธานาธิบดีทรัมป์เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ 30-50% รถบรรทุกขนาดใหญ่ 25% และผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม 100% ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะถัดไป เมื่อประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวที่รายงานออกมาดีกว่าคาดอาจทำให้เฟดต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของความเชื่อมั่นและการชะลอตัวอย่างชัดเจนของตลาดแรงงาน รวมทั้งผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้า คาดว่าจะส่งผลเชิงลบมากขึ้นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นเฟดจึงมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ในการประชุมที่เหลือของปีนี้
ญี่ปุ่น-การเลือกตั้งผู้นำ
LDP คนใหม่
หนุนความเชื่อมั่นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเดือนกันยายน ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นลดลงสู่ระดับ
48.4 จาก 49.7 ในเดือนก่อน ซึ่งหดตัวแรงที่สุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ PMI ภาคบริการเบื้องต้นชะลอลงเล็กน้อยจาก 53.1 สู่ 53.0
ส่วนอัตราเงินเฟ้อกรุงโตเกียว (Tokyo CPI) ทรงตัวที่ 2.5%
YoY
ภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณชะลอตัวชัดเจนขึ้น
โดยภาคการผลิตหดตัวแรงและการส่งออกติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะเดียวกันการบริโภคในประเทศยังถูกกดดันจากเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งหัวหน้าพรรครัฐบาล (LDP) ที่จะมีขึ้นวันที่ 4
ตุลาคม คาดว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลชุดใหม่
เช่น นโยบายปรับลดภาษี รวมถึงการมอบเงินสนับสนุนแก่ครัวเรือนในประเทศ
ซึ่งหากนโยบายต่างๆ มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะถัดไปอาจเพิ่มโอกาสที่
BOJ จะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายปีนี้
จีน-ภาวะอุปทานส่วนเกินและตลาดแรงงานที่เปราะบางยังคงกดดันเศรษฐกิจจีน
กำไรภาคอุตสาหกรรมในช่วง
8 เดือนแรกของปีนี้ขยายตัวเพียง 0.9% YoY จาก -1.7% ในช่วง 7
เดือนแรก ส่วนอัตราการว่างงานในกลุ่มคนหนุ่มสาว (อายุ 16-24 ปีไม่รวมนักเรียน)
เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 18.9% ในเดือนสิงหาคมจาก 17.8% ในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ดัชนี PMI
ย่อยด้านการจ้างงานในภาคการผลิตและนอกการผลิตในเดือนสิงหาคมยังคงอยู่ในโซนการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่
30 ที่ 47.9 และ 45.6 ตามลำดับ
กำไรภาคอุตสาหกรรมล่าสุดยังคงสะท้อนถึงแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและภาวะอุปทานส่วนเกิน
แม้จีนได้ออกมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
แต่คาดว่าต้องอาศัยเวลากว่าจะเห็นผลชัดเจน
อีกทั้งประสิทธิผลของมาตรการอาจถูกลดทอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้ธุรกิจจีนต้องคงราคาสินค้าในระดับต่ำเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
ขณะที่เครื่องชี้ด้านการจ้างงานสะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่างอุปทานแรงงานที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
(นักศึกษาจบใหม่)
กับอุปสงค์แรงงานที่อ่อนแอจากภาคธุรกิจซึ่งกังวลกับการขยายการลงทุน นอกจากนี้ คำตัดสินของศาลสูงจีนที่ห้ามหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมตั้งแต่
1 กันยายน อาจทำ
ให้ธุรกิจบางส่วนต้องลดการจ้างงานจากต้นทุนที่สูงขึ้น
เศรษฐกิจไทย
การคลังที่อ่อนแอและการเติบโตที่เผชิญปัจจัยลบสร้างแรงกดดันต่ออันดับความน่าเชื่อถือ
ขณะที่ภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯฉุดการส่งออกชะลอตัว
ฟิทซ์ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยสู่เชิงลบ
ปัจจัยฉุดจากภาคการคลังที่อ่อนแอลงและการเมืองที่เปราะบาง ล่าสุดบริษัทฟิทซ์
เรnติงส์ แม้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB+
แต่ได้ปรับลดแนวโน้มลงจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” เนื่องจาก (i)
ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มภาคการคลังที่ได้รับผลพวงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ
ประกอบกับ (ii) ปัจจัยลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น
ผลจากการชะลอตัวของอุปสงค์โลก การฟื้นตัวที่ล่าช้าของภาคท่องเที่ยว
และภาระหนี้ครัวเรือน
การปรับลดแนวโน้มอันดับความเชื่อถือลงสู่เชิงลบของฟิทซ์
เรตติ้งส์ล่าสุด หลังจากที่ Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มไปก่อนหน้าในช่วงปลายเดือนเมษายนนั้น
สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างด้านการคลังและศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในระยะสั้น รัฐบาลได้เตรียมดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง
รวมถึงสนับสนุนการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวภายในประเทศ
เพื่อช่วยพยุงการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและบรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคส่งออก
สำหรับในระยะกลางถึงยาว ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อการเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ควบคู่กับการลดการขาดดุลทางการคลังหรือการรักษาวินัยการคลัง
เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะและบรรเทาความเสี่ยงในการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต
มูลค่าส่งออกเดือนสิงหาคมเติบโตชะลอเหลือเลขหลักเดียวในรูปเงินดอลลาร์
และหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรูปเงินบาท กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกในเดือนสิงหาคมอยู่ที่
27.7 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 11 เดือนที่ 5.8% YoY หากหักสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน
และทองคำ การส่งออกเติบโต 5.4% โดยการส่งออกสินค้าสำคัญที่ยังขยายตัว อาทิ
เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ แผงวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง
ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรกลับมาหดตัวโดยได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันทางด้านราคา
อาทิ ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง ด้านตลาดส่งออกพบว่าตลาดหลักที่ขยายตัว เช่น
สหรัฐฯ จีน และอาเซียน ขณะที่หดตัวในตลาดสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น สำหรับในช่วง 8
เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 223.2 พันล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.3%
การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคมชะลอลงชัดเจน
หลังจากเริ่มมีการบังคับใช้อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯที่ 19% ตั้งแต่วันที่ 7
สิงหาคม โดยการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯเติบโตเหลือเพียง 12.8% YoY ชะลอลงจากที่เคยขยายตัวเฉลี่ยเกือบ 30% ในช่วง 7 เดือนแรก
สะท้อนว่าปัจจัยบวกจากการเร่งส่งออกล่วงหน้าได้ทยอยสิ้นสุดลง และการส่งออกไปสหรัฐฯ
อาจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในเดือนสิงหาคมยังทำให้มูลค่าส่งออกในรูปเงินบาทหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่
2 ที่ -5.5% YoY สถานการณ์ดังกล่าวกดดันรายได้ผู้ส่งออกในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่มีการนำเข้าวัตถุดิบในสัดส่วนที่น้อยหรือใช้วัตถุดิบในประเทศ
(local content) เป็นหลัก ทั้งนี้
แรงกดดันทั้งจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาท
มีแนวโน้มทำให้บทบาทของภาคส่งออกในฐานะเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส
3 ของปีนี้

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น