สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงและความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก ส่วนในไทย ความเสี่ยงต่อการเติบโตอาจหนุนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย
เศรษฐกิจโลกและไทย
สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงและความตึงเครียดทางการเมืองเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก
ส่วนในไทย ความเสี่ยงต่อการเติบโตอาจหนุนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย
สหรัฐ-เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นหลังทรัมป์ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 100% ขณะที่การปิดหน่วยงานราชการในสหรัฐฯ ยังคงยืดเยื้อ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนที่ 55.0 ในเดือนตุลาคม ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 1 ปีข้างหน้าลดลงเล็กน้อยสู่ 4.6% ในเดือนกันยายน จาก 4.7% ในเดือนสิงหาคม
ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 100% รวมถึงออกมาตรการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์สำคัญทุกประเภท เริ่มมีผลวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ อย่างไรก็ตาม สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เผยว่าผู้นำทั้งสองประเทศจะยังมีกำหนดการพบกันนอกรอบการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปคระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน โดยมาตรการภาษี 100% อาจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น หากการเจรจาคืบหน้าในทิศทางที่ดี ขณะเดียวกันความยืดเยื้อของการปิดหน่วยงานราชการอาจกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น รวมถึงการจ้างงานและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ คาดหนุนให้เฟดพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้
ยูโรโซน-เศรษฐกิจยูโรโซนยังขาดแรงขับเคลื่อนใหม่
ขณะที่การเมืองในฝรั่งเศสยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ดัชนี PMI
ภาคการผลิต พลิกกลับมาหดตัวที่ระดับ 49.8
ในเดือนกันยายน จากขยายตัว 50.7 ในเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม
ดัชนี PMI ภาคบริการขยายตัวมากสุดในรอบ 8 เดือนที่ 51.3
ขณะที่ยอดค้าปลีกเดือนสิงหาคมชะลอตัวมากสุดในรอบปีที่ 1.3% YoY
การเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนยังคงอ่อนแอจากการบริโภคที่ซบเซา
การชะลอตัวของค่าจ้าง รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ
ในระยะข้างหน้าภาคการผลิตและการส่งออกมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันสูงขึ้นจากผลของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเยอรมนียังประสบกับความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณ
ขณะที่ฝรั่งเศสยังเผชิญแรงกดดันทางการเมืองหลังประธานาธิบดีมาครงแต่งตั้งเซบาสเตียง
เลอกอร์นูกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง
แรงกดดันให้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่เพื่อเสนอร่างงบประมาณปี 2569 และความกังวลเงินเฟ้อ
จากปัจจัยดังกล่าว วิจัยกรุงศรีคาดว่า ECB จะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาพื้นที่นโยบายสำหรับรับมือความเสี่ยงในอนาคต
ไทย-ความซบเซาทางเศรษฐกิจไทยและความเสี่ยงด้านขาลง
อาจหนุนให้กนง.ปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ภายในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ในวันที่ 8 ตุลาคม มีมติ 5 ต่อ 2 ให้คงดอกเบี้ยที่ 1.50%
โดยกรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายการเงินภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัด
ขณะที่กรรมการอีก 2
ท่านเห็นควรให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
วิจัยกรุงศรีประเมินการตัดสินใจคงดอกเบี้ยของกนง.ในรอบนี้
สะท้อนท่าทีแบบ “รอดูทิศทาง” แต่ในทางปฏิบัติ (เมื่อพิจารณาดอกเบี้ยที่แท้จริง)
อาจดูเหมือน“เข้มงวดมากขึ้น” ภายใต้การปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อ (ดังตาราง)
เมื่อมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจยังมีความเปราะบาง และมีแรงกดดันจากความเสี่ยงด้านลบ
ทั้งการหดตัวของสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่สูงขึ้นจากเงินเฟ้อต่ำ
(ล่าสุดเดือนกันยายน เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ -0.72% YoY) การใช้จ่ายภาครัฐที่จำกัดภายใต้รัฐบาลเสียงข้างน้อย
และการส่งออกที่อ่อนแรงจากผลของภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ดังนั้น วิจัยกรุงศรีคาดว่า
กนง.อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 1.00%
ภายในครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อช่วยพยุงแรงส่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ลดข้อจำกัดของการขยายสินเชื่อ
และแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบายภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ประเมินว่าภายในช่วงต้นปี 2569 จะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมก่อนที่ความเสี่ยงด้านลบจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจโดยรวมมากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น